ภาษากายของคุณเปลี่ยนตัวตนของคุณได้ (เอมี่ คัดดี้ )

ภาษากายไม่เพียงส่งผลต่อมุมมองของคนอื่นที่มีต่อเรา แต่มันยังอาจเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อตัวเราเองด้วย นักจิตวิทยาสังคม เอมี่ คัดดี้ แสดงให้เห็นว่า "ท่าแห่งอำนาจ" นั่นคือ การยืนในท่าทางที่มั่นใจ แม้ว่าเราจะไม่มั่นใจก็ตาม สามารถส่งผลกระทบต่อระดับเทสโทสเตอโรนและคอร์ติซอลในสมองได้ และอาจยังส่งผลกระทบต่อโอกาสประสบความสำเร็จของเราได้อีกด้วย


ฉันอยากเริ่มต้นด้วยการแจกทางลัด เปลี่ยนชีวิตให้คุณฟรีๆ สิ่งเดียวที่คุณต้องทำก็คือ เปลี่ยนมาดของคุณเป็นเวลาสองนาที แต่ก่อนที่จะเฉลย ตอนนี้ฉันอยากให้คุณ สำรวจร่างกายตัวเอง รวมถึงว่าคุณทำอะไรกับร่างกายของคุณอยู่ มีใครบ้างคะที่กำลังทำให้ตัวเองดูตัวเล็กลง? คุณอาจกำลังนั่งหลังโกง นั่งไขว่ห้าง นั่งไขว้ขา บางครั้ง เรากอดอกแบบนี้ บางทีเรากางแขนออก (เสียงหัวเราะ) ฉันเห็นนะคะ (เสียงหัวเราะ) ทีนี้ ฉันอยากให้คุณเพ่งความสนใจ ต่อสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้ เราจะกลับมาพูดเรื่องนี้ในอีกสองสามนาที และฉันหวังว่าถ้าคุณเรียนรู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงมันสักเล็กน้อย มันอาจเปลี่ยนชีวิตของคุณได้เลย


00:47
คนเราหลงใหลเรื่องภาษากาย และเราสนใจเป็นพิเศษ กับภาษากายของคนอื่นๆ รู้ไหมคะ เราสนใจใน เอิ่ม การมีปฏิสัมพันธ์แบบกระอักกระอ่วน หรือการยิ้ม การเหลือบมองแบบดูหมิ่น หรือการขยิบตาแบบกระอักกระอ่วน แม้แต่การจับมือ


01:11
ผู้บรรยาย: พวกเขาเข้ามาถึง กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ และดูสิครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้โชคดีได้จับมือกับท่านประธานาธิบดี แห่งสหรัฐอเมริกา โอ้ มาแล้วครับ นายกรัฐมนตรีแห่ง -- ไม่เหรอ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ)


01:26
เอมี่: ดังนั้นการจับมือ หรือการไม่จับมือ กลายเป็นหัวข้อสนทนาได้นานหลายสัปดาห์ แม้แต่สำนักข่าวบีบีซี และนิวยอร์กไทมส์ ดังนั้น ชัดเจนว่าเมื่อเราคิดถึงพฤติกรรมของอวัจนภาษา หรือภาษากาย แต่นักสังคมศาสตร์เรียกมันว่าอวัจนภาษา มันเป็นภาษาอย่างหนึ่ง เราจึงคิดว่ามันเป็นการสื่อสาร เมื่อเราคิดว่ามันเป็นการสื่อสาร เราคิดถึงการมีปฏิสัมพันธ์ ดังนั้น ภาษากายของคุณกำลังสื่อสารอะไรกับฉัน และภาษากายของฉันกำลังสื่อสารอะไรกับคุณ


01:53
และมันมีเหตุผลมากมายที่ทำให้เราชื่อว่า นี่เป็นมุมมองที่ถูกต้อง ดังนั้น นักสังคมศาสตร์จึงทุ่มเทเวลา ศึกษาผลกระทบจากภาษากายของเรา และภาษากายของผู้คนอื่นๆ กับการตัดสินคน เรามักตัดสินและอนุมานลักษณะของคนจากภาษากาย และการตัดสินเหล่านั้นสามารถทำนาย ผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตได้เลยทีเดียว เช่นใครที่เราจะจ้างหรือเลื่อนขั้น หรือใครที่เราจะขอออกเดทด้วย ตัวอย่างเช่น นาลินี แอมบาดี (Nalini Ambady) นักวิจัยที่ Tufts University แสดงให้เห็นว่า เมื่อคนดูคลิปวิดีโอ ความยาว 30 วินาที ที่ไม่มีเสียงพูด ของการปฏิสัมพันธ์จริงระหว่างแพทย์กับคนไข้ การตัดสินของพวกเขาว่าแพทย์นั้นดูใจดีแค่ไหน ใช้เป็นตัวทำนายได้ว่าแพทย์คนนั้นจะถูกฟ้องหรือไม่ แพทย์คนนั้นจะไร้ความสามารถหรือเปล่า ไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่ แต่มันขึ้นกับว่าเราชอบแพทย์คนนั้นหรือเปล่า และเขามีปฏิสัมพันธ์กับเราอย่างไร ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้น อเล็กซ์ โทโดรอฟ (Alex Todorov) จาก Princeton ได้แสดงให้เห็นว่า การตัดสินจากใบหน้า ของผู้เข้าสมัครชิงตำแหน่งการเมือง ภายในหนึ่งวินาที ก็สามารถทำนายผล การเลือกตั้งวุฒิสภา และการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐได้แม่นถึง 70% และแม้แต่ในโลกดิจิตอล การใช้อีโมติคอนอย่างเหมาะสมในการเจรจาออนไลน์ สามารถทำกำไรให้คุณจากการเจรจานั้นได้มากกว่า แต่ถ้าคุณใช้อย่างไม่เหมาะสม ก็เป็นความคิดที่แย่ ใช่ไหมคะ ดังนั้น เมื่อเราคิดถึงอวัจนภาษา เราคิดถึงการที่เราตัดสินคนอื่น คนอื่นๆ ตัดสินเราอย่างไร และอะไรคือผลที่เกิดตามมา แต่เรามักจะลืมผู้รับสารอีกหนึ่งคน ที่ได้รับผลกระทบจากอวัจนภาษาของเรา นั่นก็คือตัวเราเอง


03:20
เราได้รับอิทธิพลจากอวัจนภาษาของเรา ความคิดของเรา ความรู้สึกของเรา และปฏิกิริยาทางร่างกายของเรา แล้วอวัจนภาษาที่ฉันกำลังพูดถึงคืออะไรล่ะคะ? ฉันเป็นนักจิตวิทยาสังคม ฉันศึกษาเรื่องอคติ และฉันสอนที่โรงเรียนธุรกิจชื่อดังแห่งหนึ่ง ดังนั้นฉันจึงอดไม่ได้ ที่จะสนใจเรื่องพลวัตของอำนาจ ฉันสนใจการแสดงออกถึงอำนาจและการครอบงำ ผ่านทางอวัจนภาษาเป็นพิเศษ


03:45
แล้วอวัจนภาษาที่สื่อถึงพลังอำนาจคืออะไร นี่ค่ะ คืออวัจนภาษาที่ว่า ในอาณาจักรสัตว์ มันคือการขยายตัว คุณทำตัวเองให้ดูใหญ่ คุณยืดตัวออก คุณทำตัวพอง พูดง่ายๆ คือเปิดตัวเองออก มันคือการเปิดตัวออก มันเป็นอย่างนี้ ในอาณาจักรสัตว์ทุกชนิด ไม่เฉพาะสัตว์ตระกูลลิง มนุษย์ก็ทำเช่นเดียวกัน (เสียงหัวเราะ) คนเราทำท่าทางนี้ ทั้งตอนที่อยู่ในฐานะที่มีอำนาจ และตอนที่รู้สึกมีอำนาจเพียงชั่วขณะหนึ่ง สิ่งนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะมันแสดงให้เราเห็นว่า วิธีแสดงออกถึงพลังอำนาจนี้ มันเป็นสากลและเก่าแก่แค่ไหน การแสดงออกนี้ ซึ่งเรียกกันว่า ความทะนงตน เจสสิกา เทรซี (Jessica Tracy) ได้ทำการศึกษา และแสดงให้เห็นว่า คนที่เกิดมามีสายตามองเห็น และคนที่ตาบอดตั้งแต่เกิดล้วนทำสิ่งนี้ เมื่อพวกเขาชนะการแข่งขันอะไรสักอย่าง เมื่อเขาวิ่งข้ามเส้นชัย และเขาเป็นที่หนึ่ง มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเคยเห็นคนอื่น ทำสิ่งนั้นมาก่อนหรือไม่ พวกเขาจะทำแบบนี้เสมอ ชูแชนขึ้นเป็นรูปตัว V เชิดคางขึ้น แล้วเราทำอย่างไรเมื่อเรารู้สึกไร้อำนาจ เราทำในสิ่งตรงกันข้าม เราปิดตัวเอง ห่อตัว เราทำตัวให้เล็กลง เราไม่อยากกระทบกระทั่งกับคนที่อยู่ข้างๆ เช่นเดียวกัน ทั้งสัตว์และมนุษย์ทำในสิ่งเดียวกัน และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเอาคนที่มีอำนาจ และไร้อำนาจมาอยู่ด้วยกัน สิ่งที่พวกเรามักทำ เมื่อมีความเหลื่อมล้ำของอำนาจ คือ เราจะเป็นคู่เสริมทางอวัจนภาษาของกันและกัน ดังนั้น ถ้าบางคนมีอำนาจกว่าเรามากๆ เรามีแนวโน้มจะทำตัวเล็กลง เราจะไม่เลียนแบบเขา เราทำในสิ่งตรงกันข้าม


05:13
ฉันเฝ้าสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้ในห้องเรียน และฉันเห็นอะไรรู้ไหมคะ? ฉันสังเกตว่านักเรียนบริหารธุรกิจ ใช้อวัจนภาษาแสดงออกถึงอำนาจอย่างเต็มที่ คุณจะเห็นคนที่ทำตัวเหมือนเป็นจ่าฝูง ปราดเข้ามาในห้อง เข้ามากลางห้อง ก่อนที่การเรียนจะเริ่มขึ้น พวกเขาต้องการจะจับจองพื้นที่ เมื่อพวกเขานั่งลง เขาจะแผ่ขยายตัวเอง พวกเขายกมือขึ้นแบบนี้ คุณจะพบคนอื่นๆ ที่ตัวแทบจะหดหายไปเลย เมื่อพวกเขาเข้ามา ทันที่ที่พวกเขาเข้ามา คุณจะเห็นได้จากหน้าตาท่าทางของพวกเขา และพวกเขานั่งในเก้าอี้ พยายามทำตัวให้เล็กที่สุด และพวกเขาทำอย่างนี้เวลายกมือ ฉันสังเกตเห็นสองสิ่งจากเรื่องนี้ หนึ่ง คุณจะไม่ประหลาดใจเลย ว่ามันดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับเพศ ผู้หญิงมีแนวโน้มสูงกว่าผู้ชาย ที่จะทำท่าแบบนี้ ผู้หญิงรู้สึกถึงความด้อยอำนาจกว่าผู้ชายอยู่เสมอ ดังนั้นมันจึงไม่น่าประหลาดใจ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตก็คือ มันเหมือนจะเกี่ยวข้องรวมไปถึง การที่นักเรียนจะมีส่วนร่วมในห้องเรียนมากแค่ไหน และมีส่วนร่วมดีแค่ไหนด้วย ซึ่งมันสำคัญมากในห้องเรียนของวิชาบริหารธุรกิจ เพราะการมีส่วนร่วมคิดเป็นครึ่งหนึ่งของเกรด


06:22
ดังนั้น โรงเรียนบริหารธุรกิจค่อนข้างมีปัญหา เรื่องช่องว่างของเกรดที่เกิดจากเพศ คุณได้นักเรียนที่มีคุณสมบัติดีพอๆ กัน ทั้งหญิงและชายเข้ามาเรียน แต่คุณกลับได้เกรดที่แตกต่างกัน เพราะความแตกต่างในการมีส่วนร่วมในห้องเรียน ฉันจึงเริ่มสงสัยว่า เอาล่ะ คุณมีคนเหล่านี้ ซึ่งเข้ามาแบบนี้ เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเราให้คนเหล่านี้แสร้งทำท่าทางมีอำนาจ มันจะชักจูงให้พวกเขามีส่วนร่วมมากขึ้น


06:46
ดังนั้น ผู้ร่วมงานคนสำคัญของฉัน ดานา คาร์นีย์ (Dana Carney) ที่เบิร์คลีย์ (Berkeley) และตัวฉัน อยากจะรู้ว่า คุณจะแสร้งทำ จนกระทั่งคุณทำได้จริงๆ หรือไม่ คือ คุณสามารถทำท่าแบบนี้สักครู่หนึ่ง เพื่อให้ได้ประสบการณ์ทางพฤติกรรม ที่ทำให้คุณรู้สึกมีอำนาจได้ไหม เรารู้ว่าอวัจนภาษาของเราควบคุม ความคิดและความรู้สึก ที่คนอื่นมีต่อเรา มีหลักฐานสนับสนุนมากมาย แต่คำถามของเราจริงๆ ก็คือ อวัจนภาษาของเรา สามารถควบคุมวิธีที่เราคิด และรู้สึกต่อตัวเราเองได้หรือไม่


07:13
มีหลักฐานบางชิ้นที่สนับสนุนว่ามันเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น เรายิ้มเมื่อมีความสุข ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเราถูกบังคับให้ยิ้ม โดยคาบปากกาไว้แบบนี้ มันทำให้เรารู้สึกมีความสุขไปด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ทั้งสองทาง และเมื่อเป็นเรื่องของอำนาจ มันก็เป็นไปได้ทั้งสองทางเช่นกัน เมื่อคุณรู้สึกมีอำนาจ คุณมีแนวโน้มจะทำแบบนี้ และก็เป็นไปได้เช่นกัน ที่เมื่อคุณแสร้งทำเป็นมีอำนาจ คุณจะมีแนวโน้ม ที่จะรู้สึกมีอำนาจขึ้นมาจริงๆ


07:46
คำถามข้อที่สอง ก็คือ เรารู้ว่าจิตใจของเราส่งผลกระทบต่อร่างกาย และก็จริงอีกเช่นกันว่า ร่างกายของเราสามารถ ส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ด้วย และเมื่อฉันพูดถึงจิตใจ ในบริบทเรื่องอำนาจ ฉันหมายถึงอะไร ฉันหมายถึงความคิดและความรู้สึก และปฏิกิริยาทางสรีระวิทยา ที่รวมกันเป็นความคิดและความรู้สึกของเรา ในกรณีของฉัน มันคือฮอร์โมน ฉันศึกษาฮอร์โมน จิตใจของผู้ที่มีอำนาจและผู้ที่ไร้อำนาจ นั้นเป็นเช่นไร? ไม่น่าแปลกใจเลย คนที่มีอำนาจมักจะ มีความหนักแน่น มั่นใจ มองโลกในแง่ดี พวกเขารู้สึกจริงๆ ว่าพวกเขาจะชนะ แม้แต่ในเกมเสี่ยงโชค สามารถคิดในเชิงนามธรรมได้ดีกว่า รับความเสี่ยงได้สูงกว่า ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ไร้อำนาจ มีความแตกต่างกันสูงมาก ในทางสรีระวิทยาก็มีความแตกต่างกันมาก ในฮอร์โมนหลักสองตัว คือ เทสโทสเตอโรน (testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งการแสดงอำนาจ และคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งคือฮอร์โมนความเครียด สิ่งที่เราพบก็คือ ในสัตว์ตระกูลลิง จ่าฝูงตัวผู้ที่มีอำนาจมาก มีเทสโทสเตอโรนสูง และคอร์ติซอลต่ำ และผู้นำที่มีอำนาจและมีประสิทธิภาพ ก็มีเทสโทสเตอโรนสูง และคอร์ติซอลต่ำเช่นกัน นั่นหมายถึงอะไร เมื่อคุณคิดถึงอำนาจ คนมักคิดถึงแต่เทสโทสเตอโรน เพราะมันเกี่ยวกับการแสดงอำนาจ แต่จริงๆ แล้ว อำนาจนั้นหมายรวมถึง การตอบสนองของคุณต่อความเครียดด้วย คุณต้องการผู้นำที่มีอำนาจ ที่มีอำนาจเหนือคนอื่นๆ มีเทสโทสเตอโรนสูง แต่อ่อนไหวต่อความเครียดหรือเปล่า คงไม่ คุณต้องการบุคคล ที่มีอำนาจ มั่นคง เด่นกว่าคนอื่น และไม่อ่อนไหวต่อความเครียด บุคคลซึ่งทำตัวผ่อนคลาย


09:26
เรารู้ว่าในโครงสร้างสังคมของสัตว์ตระกูลลิง ถ้าจ่าฝูงต้องการครอบครอง ถ้าใครสักคนหนึ่งต้องสวมบทบาท ของจ่าฝูงอย่างทันทีทันใด ภายสองไม่กี่วัน ระดับเทสโทสเตอโรนของคนนั้นจะสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ และระดับคอร์ติซอล ก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน เรามีหลักฐานว่าร่างกายสามารถ เปลี่ยนแปลงจิตใจ อย่างน้อยก็ในระดับผิวเผิน และการเปลี่ยนบทบาทก็สามารถ เปลี่ยนแปลงจิตใจได้ด้วย แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณเปลี่ยนบทบาท จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณทำอะไรเล็กน้อยมากๆ เช่นการปรับเปลี่ยนเล็กๆ การแทรกแซงเล็กๆ แบบนี้ โดยพูดกับตัวเองว่า "ในสองนาที ฉันจะยืนท่านี้ และนั่นจะทำให้ฉันรู้สึกมีอำนาจมากขึ้น"


10:08
นี่คือสิ่งที่เราทำ เรานำคนกลุ่มหนึ่ง มายังห้องทดลองและทำการทดลองเล็กๆ คนกลุ่มนี้ จะต้องทำท่าแห่งอำนาจ หรือท่าไร้อำนาจเป็นเวลาสองนาที ฉันจะให้ดูภาพท่าเหล่านี้ 5 แบบ แม้ว่าพวกเขาจะใช้แค่สองแบบเท่านั้น นี่คือท่าหนึ่ง อีกสองท่า ท่านี้ถูกตั้งชื่อว่า "วันเดอร์วูแมน" โดยสื่อต่างๆ นี่คืออีกสองท่า ดังนั้นคุณสามารถยืนหรือนั่งก็ได้ และนี่คือ ท่าไร้อำนาจ คุณห่อตัว ทำตัวเองให้เล็กลง ท่านี้เป็นท่าที่ไร้อำนาจจริงๆ เมื่อคุณแตะคอตัวเอง จริงๆ แล้วคุณกำลังปกป้องตัวเอง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาเข้ามา เราแบ่งเขาออกเป็นสองกลุ่ม เราบอกเขาว่า "คุณต้องทำท่าแบบนี้ หรือไม่ก็แบบนี้" พวกเขาไม่ได้ดูรูปของท่าทางเหล่านั้น เพราะเราไม่อยากชี้นำ ให้เขาคิดถึงเรื่องอำนาจ เราต้องการให้พวกเขารู้สึกถึงอำนาจด้วยตัวเอง ดังนั้น พวกเขาทำท่าเหล่านี้เป็นเวลา 2 นาที จากนั้นเราก็ถามพวกเขาว่า "คุณรู้สึกมีอำนาจแค่ไหน" โดยใช้คำถามหลายข้อ แล้วเราก็ให้โอกาสเขาเสี่ยงพนัน และจากนั้นเราเก็บตัวอย่างน้ำลาย แค่นั้นเอง นั่นคือการทดลองทั้งหมด


11:17
และนี่คือสิ่งที่เราค้นพบ การยอมรับความเสี่ยง ซึ่งในที่นี้คือการพนัน เราพบว่า เมื่อคุณทำท่ามีอำนาจสูง 86 เปอร์เซ็นต์ของพวกคุณจะกล้าพนัน เมื่อคุณอยู่ในท่าไร้อำนาจ มีแค่ 60 เปอร์เซ็นต์ที่กล้าเสี่ยง นั่นมันแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทีเดียว นี่คือสิ่งที่เราพบในเรื่องเทสโทสเตอโรน เทียบกับระดับเทสโทสเตอโรนก่อนเริ่มทดลอง กลุ่มมีอำนาจ มีเทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มคนไร้อำนาจ มีเทสโทสเตอโรนลดลง ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เพียงแค่สองนาที คุณก็ได้การเปลี่นแปลงเหล่านี้ และนี่คือผลที่ได้ในเรื่องคอร์ติซอล ในกลุ่มคนมีอำนาจ มีคอร์ติซอลลดลงประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ และในกลุ่มคนไร้อำนาจ มีคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น เพียงแค่สองนาทีก็นำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเหล่านี้ ที่ปรับเปลี่ยนสมองคุณให้เป็นได้ทั้ง หนักแน่น มั่นใจ และสบาย หรือ อ่อนไหวต่อความเครียด รู้สึกปิดกั้นตัวเอง พวกเราต่างเคยรู้สึกแบบนั้นใช่ไหมคะ ดังนั้น มันเหมือนว่าอวัจนภาษาของเราสามารถควบคุม วิธีที่เราคิดและรู้สึกเกี่ยวกับตัวเราเอง ไม่เพียงแค่คนอื่น แต่รวมถึงตัวเราเองด้วย และร่างกายของเราก็เปลี่ยนแปลงจิตใจเราได้


12:25
แต่แน่นอน คำถามถัดไปก็คือ การทำท่าแห่งอำนาจเพียงสองสามนาที สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณได้จริงๆ จังๆ หรือเปล่า นี่มันแค่การทดลองในห้องทดลอง มันเป็นงานเล็กๆ ใช้เวลาเพียงสองนาที คุณจะเอามันไปใช้จริงๆ ได้ที่ไหนบ้าง ก็ในสถานการณ์ที่สำคัญกับเราน่ะสิ และเราคิดว่าจริงๆ แล้ว มันสำคัญมาก ฉันหมายถึง คุณควรจะนำมันไปใช้ในสถานการณ์ ที่คุณจะต้องถูกประเมิน เช่น ในสถานการณ์ที่ถูกคุกคามทางสังคม ที่คุณกำลังถูกประเมิน ไม่ว่าจะโดยเพื่อนๆ เช่น สำหรับวัยรุ่น ก็คือสถานการณ์ในห้องทานอาหารกลางวัน สำหรับบางคน อาจเป็นการพูด ในที่ประชุมคณะกรรมการของโรงเรียน หรือการนำเสนอผลงาน หรือการบรรยายแบบนี้ หรือการสัมภาษณ์งาน เราคิดว่า สถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่จะเชื่อมโยงได้ เพราะคนส่วนใหญ่เคยผ่านมาแล้ว นั่นคือการสัมภาษณ์งาน


13:09
ดังนั้นเราจึงตีพิมพ์การค้นพบนี้ และสื่อต่างๆ ก็พากันตื่นเต้น และพวกเขาบอกว่า นี่คือสิ่งที่คุณต้องทำ เมื่อคุณไปสัมภาษณ์งาน ใช่ไหมคะ (เสียงหัวเราะ) ตอนนั้นเรากลัวมาก และกล่าวว่า โอ้ พระเจ้า ไม่นะไม่ เราไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลย ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาด นี่ไม่ใช่การที่คุณพูดกับคนอื่นๆ มันคือการที่คุณพูดกับตัวคุณเอง คุณจะทำอะไร ก่อนเข้าไปสัมภาษณ์งาน? คุณทำแบบนี้ ใช่ไหมคะ? คุณนั่งลง คุณกำลังเล่นไอโฟน หรือแอนดรอยด์ พยายามไม่ให้ใครคลาดสายตา คุณกำลังดูกระดาษโน้ตของคุณ คุณนั่งหลังโกง ทำตัวเองให้ดูเล็ก ในขณะที่สิ่งที่คุณควรทำจริงๆ แล้ว อาจเป็นแบบนี้ คุณอาจทำแบบนี้ในห้องน้ำ ใช่ไหมคะ ทำแบบนั้น ลองหาเวลาสักสองนาที นั่นคือสิ่งที่เราอยากทดสอบ เราพาคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้องทดลอง ให้พวกเขาทำท่าแห่งอำนาจ หรือ ไร้อำนาจ พวกเขาต้องผ่านการสัมภาษณ์งานอันเคร่งเครียด ใช้เวลานานห้านาที พวกเขาถูกบันทึกวิดีโอ และถูกประเมินด้วย โดยผู้ประเมิน ก็ถูกฝึกมาไม่ให้โต้ตอบด้วยอวัจนภาษา ดังนั้นพวกเขาจึงดูเหมือนแบบนี้ ลองจินตนาการว่านี่คือคนที่กำลังสัมภาษณ์คุณอยู่ เป็นเวลานานห้านาที โดยไร้การตอบสนอง นี่มันแย่ยิ่งกว่าโดนต้อนเสียอีก คนทั่วไปไม่ชอบภาวะแบบนี้ นี่คือสิ่งที่ แมรีแอน ลาฟรานซ์ (Marianne LaFrance) เรียกว่า "สถานการณ์น่าเบื่อแต่หนีไม่ได้" (social quicksand) ซึ่งทำให้คอร์ติซอลของคุณพุ่งปรี๊ด เราให้พวกเขาเข้าไปสัมภาษณ์งานแบบนี้ เพราะเราต้องการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราให้ผู้ประเมินสี่คนดูวิดีโอเทปนี้ พวกเขาไม่รู้สมมติฐานของเรา พวกเขาไม่รู้สภาวะก่อนการสัมภาษณ์ พวกเขาไม่รู้ว่าใครทำท่าอะไรก่อนการสัมภาษณ์ พวกเขาเพียงแค่ได้ดูเทปการสัมภาษณ์ และพูดว่า "โอ้ เราต้องการจ้างคนพวกนี้" หมายถึงคนที่ทำท่ามีอำนาจทั้งหมด หรือพูดว่า "เราไม่อยากจ้างคนพวกนี้ เรายังประเมินคนกลุ่มนี้สูงกว่าในทุกๆ ด้านด้วย" แต่อะไรเป็นตัวขับดันล่ะ? มันไม่เกี่ยวกับเนื้อหาสาระของสิ่งที่เขาพูดเลย แต่อยู่ที่ภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอในระหว่างการพูด เพราะเราให้คะแนนพวกเขาในตัวแปร ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสามารถ เช่น การพูดของเขามีโครงสร้างดีแค่ไหน? มันฟังดูดีแค่ไหน? คุณสมบัติของพวกเขาเป็นอย่างไร? ตัวแปรพวกนี้ไม่มีผลต่อการจ้างงานเลย แต่สิ่งที่ได้รับผลกระทบคือ สิ่งเหล่านี้ คนสามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา พวกเขาเผยตัวตนออกมา พวกเขาแสดงความคิด ในแบบของตนเอง โดยไม่มีอะไรมาปิดบัง และนี่คือสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อน หรือเป็นตัวนำพาให้เกิดผลดังกล่าว


15:24
เมื่อฉันบอกคนอื่นๆ เรื่องนี้ ว่าร่างกายของเราสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของเรา และจิตใจของเราก็เปลี่ยนพฤติกรรมเราได้ และพฤติกรรมของเราก็สามารถ เปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้ พวกเขาบอกฉันว่า "ฉันว่ามันไม่ .... มันดูเสแสร้ง" ฉันตอบว่า คุณต้องเสแสร้งจนกว่าคุณจะทำมันได้จริง คนมักคิดว่า ฉันทำไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวฉัน ฉันไม่อยากไปถึงจุดนั้น แล้วยังรู้สึกเหมือนพวกหลอกลวง ฉันไม่อยากรู้สึกเหมือนเป็นพวกต้มตุ๋น ฉันไปอยากไปถึงจุดนั้น แล้วต้องรู้สึกว่าฉันไม่ควรค่าพอ นั่นมันช่างสอดคล้องกับกรณีของฉันเหลือเกิน ฉันอยากจะเล่าเรื่องสั้นๆ ให้พวกคุณฟัง เกี่ยวกับการเป็นพวกหลอกลวง และความรู้สึกไม่ควรค่าพอจะอยู่ตรงจุดนั้น


15:55
เมื่อฉันอายุได้ 19 ปี ฉันประสบอุบัติเหตุ ทางรถยนต์ที่ร้ายแรงมากๆ ฉันถูกเหวี่ยงออกจากรถ กลิ้งหลายตลบ ฉันถูกเหวี่ยงออกจากรถ และฉันฟื้นขึ้นมา ในห้องกายภาพของผู้บาดเจ็บทางสมอง และฉันต้องออกจากมหาวิทยาลัย เมื่อฉันรู้ตัวว่า I.Q. ของฉันลดลง กว่า 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน มันเจ็บปวดมาก ฉันรู้ว่า I.Q. ฉันเคยเป็นเท่าไร ฉันเคยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเด็กฉลาด ฉันถูกเรียกว่าเป็นเด็กมีพรสวรรค์ เมื่อฉันถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัย ฉันพยายามกลับไปเรียน พวกเขาบอกว่า "เธอจะเรียนไม่จบนะ มีอย่างอื่นมากมายที่เธอจะทำได้ แต่การเรียนมันยากเกินไปสำหรับเธอ" ฉันลำบากมากกับเรื่องนี้ ต้องบอกตามตรง การถูกลบอัตลักษณ์ของตนเอง แก่นแท้ของตัวตน และสำหรับฉัน มันคือการเป็นคนฉลาด เมื่อมันโดนพรากไปจากคุณ ไม่มีอะไรจะทำให้คุณรู้สึกไร้อำนาจไปยิ่งกว่านั้นอีกแล้ว ฉันรู้สึกไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง ฉันขยันเรียน และขยันเรียน และขยันเรียน และฉันก็โชคดี และขยันเรียน และก็โชคดี และขยันเรียน


16:50
จนสุดท้าย ฉันก็เรียนจบ ฉันต้องใช้เวลานานกว่าเพื่อนๆ ถึงสี่ปี ฉันโน้มน้าวใครคนหนึ่ง ซูซาน ฟิสก์ (Susan Fiske) อาจารย์ที่ปรึกษาผู้เป็นดั่งเทพธิดาของฉัน ให้รับฉันเข้าเรียนต่อ สุดท้ายฉันจึงได้เข้าเรียนที่พรินซ์ตัน (Princeton) ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันไม่คู่ควรกับที่นั่น ฉันเป็นพวกหลอกลวง และคืนก่อนการกล่าวบรรยายในปีแรกของฉัน และการบรรยายของนักศึกษาชั้นปีหนึ่ง ที่ปรินซ์ตั้น เป็นการบรรยาย 20 นาที มีผู้ฟัง 20 คน แค่นั้นเอง แต่ฉันกลัวมาก ว่าคนจะรู้ความจริงในวันรุ่งขึ้น จนฉันต้องโทรไปหาอาจารย์ และบอกเธอว่า "หนูขอลาออกค่ะ" เธอตอบว่า "เธอลาออกไม่ได้ เพราะฉันวางเดิมพันเรื่องเธอเอาไว้ และเธอต้องอยู่ต่อ เธอจะต้องอยู่ต่อ และนี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ เธอจะต้องแสร้งทำมัน เธอจะต้องพูดในทุกๆ งานที่เธอถูกขอให้พูด เธอจะต้องพูด และพูด และพูด แม้ว่าเธอจะกลัวจนตัวแข็งทื่อ และเกิดประสบการณ์ออกจากร่าง จนกระทั่ง เธอถึงจุดหนึ่ง ที่เธอจะบอกตัวเองว่า 'พระเจ้าช่วย ฉันกำลังทำมัน ฉันกลายเป็นคนที่ทำได้จริงๆ ฉันกำลังทำมันอยู่จริงๆ'" นั่นคือสิ่งที่ฉันทำ ห้าปีในการเรียนบัณฑิตศึกษา แล้วฉันก็ไปอยู่ที่นอร์ธเวสเทิร์น (Northwestern) สองสามปี แล้วย้ายไปฮาร์วาร์ด (Harvard) และที่ฮาวาร์ด ฉันก็เลิกคิดถึงมันไปเลย แต่ก่อนหน้านั้นนานทีเดียวที่ฉันคอยแต่คิดว่า "ฉันไม่คู่ควรกับที่นี่ ไม่คู่ควรกับที่นี่"


17:56
ตอนปลายปีแรกของฉันที่ฮาร์วาร์ด นักเรียนคนหนึ่งผู้ไม่เคยพูดในชั้นเรียนเลยทั้งเทอม คนที่ฉันเคยเตือนว่า "นี่ เธอต้องมีส่วนร่วมในชั้นเรียนนะ ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ผ่าน" เด็กคนนั้นมาที่ห้องทำงานฉัน ฉันไม่รู้จักเธอเลย และเธอเข้ามาในแบบหมดสภาพ พ่ายแพ้ยับเยิน เธอกล่าวว่า "หนูไม่คู่ควรกับที่นี่" นั่นคือช่วงเวลาสำคัญสำหรับฉัน เพราะสองสิ่งได้เกิดขึ้น สิ่งแรกคือฉันได้ตระหนัก ว่า พระเจ้า ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่เธอรู้สึก และฉันเข้าใจดี และสิ่งที่สอง คือ เธอคู่ควรจะอยู่ที่นี่! เธอสามารถเสแสร้งได้ จนเธอกลายเป็นแบบนั้นจริงๆ ดังนั้นฉันจึงพูดว่า "เธอคู่ควร! เธอสมควรจะได้อยู่ที่นี่ และพรุ่งนี้ เธอจะต้องเสแสร้งทำมัน เธอจะต้องทำตัวให้มีอำนาจ และเธอจะต้อง --" (เสียงปรบมือ) (เสียงปรบมือ) "และเธอจะต้องเข้าเรียน และเธอจะต้องแสดงความเห็น ที่เยี่ยมยอดที่สุดกว่าใครๆ" คุณรู้อะไรไหม? แล้วเธอก็แสดงความเห็นที่เยี่ยมยอดจริงๆ และคนอื่นๆ ต่างหันมามองเธอ แล้วทำท่าเหมือนกับว่า พระเจ้า ฉันไม่เคยสังเกตเลยว่าเธอนั่งอยู่ตรงนั้น (เสียงหัวเราะ)


19:02
เธอกลับมาหาฉัน เมื่อเวลาผ่านไปเดือนหนึ่ง และฉันตระหนักว่า เธอไม่ได้แค่แสร้งทำจนเธอทำมันได้จริงๆ แต่เธอแสร้งทำ จนมันกลายเป็นตัวเธอไปเลย เธอเปลี่ยนไป และดังนั้นฉันจึงอยากบอกคุณว่า อย่าแค่แสร้งทำจนคุณทำมันได้ ให้แสร้งทำจนมันกลายเป็นตัวคุณ ทำมันให้มากพอจนมันกลายเป็นตัวคุณ


19:22
สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะฝากไว้ก่อนจบการบรรยาย คือการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ได้ ดังนั้น นี่คือสองนาที สองนาที สองนาที สองนาที ก่อนที่คุณจะต้องเข้าไปในสถานการณ์ ที่จะต้องถูกประเมินอย่างเคร่งเครียด ใช้เวลาสักสองนาที พยายามทำสิ่งเหล่านี้ ในลิฟท์ ในห้องน้ำ ที่โต๊ะของคุณในห้องมิดชิด นั่นคือสิ่งที่คุณควรทำ ปรับสมองของคุณ เพื่อให้รับมือได้ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น เพิ่มเทสโทสเตอโรนของคุณให้สูงขึ้น และลดคอร์ติซอลให้ต่ำลง อย่าออกมาจากสถานการณ์นั้นพร้อมด้วยความรู้สึกที่ว่า โธ่ ฉันยังไม่ได้แสดงตัวตนจริงๆ ของฉันเลย จงออกจากสถานการณ์นั้นด้วยความรู้สึกว่า โอ้ ฉันรู้สึกว่า ฉันได้พูดในแบบของฉัน และแสดงออกในแบบของฉัน


19:58

ฉันอยากขอร้องให้คุณ ลองทำท่ามีอำนาจ และฉันอยากขอให้คุณ นำความรู้นี้ไปแบ่งปัน เพราะมันง่ายมาก ฉันไม่มีผลประโยชน์ในเรื่องนี้เลยนะ (เสียงหัวเราะ) เอาไปบอกคนอื่นๆ แบ่งปันกัน เพราะคนที่จะใช้มันได้มากที่สุด คือคนที่ ไม่มีทรัพยากรอื่น และไม่มีเทคโนโลยี และไม่มีสถานะทางสังคม และไม่มีอำนาจ จงให้ความรู้นี้แก่พวกเขา เพราะเขาสามารถทำในที่ลับตา พวกเขาแค่ต้องการร่างกายของเขา ความเป็นส่วนตัว และเวลาสองนาที และมันจะสามารถเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้จริงๆ ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ) (เสียงปรบมือ)

( Credit ข้อมูล : YouTube.com , Ted.com )