เงินไม่ใช่ความมั่งคั่ง . ( บทความโดย Steve Forbes นิตยสารฟอร์บ )


เจ้าหน้าที่ฟอร์บ 

เศรษฐกิจโลก ในทุกวันนี้ไม่เป็นระเบียบเพราะนักเศรษฐศาสตร์,นายธนาคารและผู้นำทางการเมืองส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานที่สุดนั่นคือเรื่องเงิน  เมื่อพูดถึงนโยบายการเงินพวกเขาก็ต้องถอยหลังด้วยความคิดที่ผิด ของ John Maynard Keyne (นักเขียนด้านการเงินชื่อดังของโลก) ก่อนหน้านี้เคนส์และนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความคิดคล้ายกันเข้าใจว่าเศรษฐกิจที่แท้จริงคือการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการ  เงินเป็นสัญลักษณ์เศรษฐกิจ มันแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้คนผลิตเงินเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการค้า .

ความสามารถของผู้คนในการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันคือวิธีที่เราบรรลุมาตรฐานการทำให้ครองชีพสูงขึ้น เงินวัดความมั่งคั่ง  แต่ตัวมันไม่ใช่ความมั่งคั่ง  เงินเป็นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการที่ผู้คนสร้างขึ้น  นั่นเป็นสาเหตุที่การปลอมแปลงเงินผิดกฎหมาย มันคือลักทรัพย์ . แต่พอรัฐบาลทำแบบเดียวกันนี้ (คือ พิมพ์เงินเองอะไรแบบนั้น) กลับเรียกว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เงินสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เราทำในตลาด แต่แทนที่จะตระหนักถึงความจริงพื้นฐานนั้นเคนส์ได้วางตัวตรงกันข้าม  วิธีการคิดของเคนส์บอกว่าเงินควบคุมเศรษฐกิจ เปลี่ยนแหล่งจ่ายและคุณสามารถเปลี่ยนผลผลิตทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับเทอร์โมควบคุมอุณหภูมิของห้องรัฐบาลไม่ใช่ผู้ขับเคลื่อน  แต่ตลาดเป็นตัวขับเคลื่อนการค้าที่แท้จริง "นักเศรษฐศาสตร์" อื่น เช่น นักลงทุน, ผู้ร่วมทุน, ผู้ประกอบการและผู้บริหารธุรกิจนั้นเป็นรองพวกเขาเพียงตอบสนองนโยบายของเจ้าหน้าที่ของรัฐและนายธนาคารกลาง (ในขณะที่นักสร้างรายได้มุ่งเน้นไปที่ปริมาณเงินเท่านั้น  เคนส์คิดว่ามันมีประโยชน์ในการใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น การใช้จ่ายและภาษีเพื่อช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไรก็ตามเคนส์และคนที่คิดตามแนว ของเขาแทบไม่มีแนวคิดเรื่องภาษีที่เป็นอุปสรรคหรืออุปสรรค กิจกรรมเชิงพาณิชย์พวกเขามองว่าสิ่งที่กล่าวมาเหล่านั้นเป็นวิธีการควบคุมกำลังซื้อทั้งหมดของเศรษฐกิจหรือ "อุปสงค์รวม")

Keynes ได้แบ่งปันมุมมองที่สำคัญอย่างหนึ่งกับนักเศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิก: พวกเขามองว่าเศรษฐกิจเป็นเครื่องจักรที่ควรทำงานได้อย่างราบรื่น วัฏจักรธุรกิจที่เรียกว่า booms and busts (ตลาดขึ้น และ ตลาดลง) เป็นปรากฏการณ์ที่ต้องศึกษาเพื่อกำจัดวงจรนี้นักคิดแบบคลาสสิกคิดว่า ควรมี "การแข่งขันที่สมบูรณ์แบบ" มากขึ้นในธุรกิจกฎระเบียบของรัฐควรลดลง , ลดระดับการใช้จ่ายภาครัฐอย่างรอบคอบ , คุมราคามาตรฐานทองคำและทำภาษีให้ต่ำพร้อมกับการต่อสู้กับการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมของธนาคาร  .  ลัทธิของเคนส์คิดว่าตลาดเสรีนั้นมีความไม่แน่นอนโดยธรรมชาตินายทุนเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของพวกเขาเองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ฉลาดเช่นเคนส์จำเป็นต้องช่วยนักธุรกิจด้วยตนเอง ทำให้รัฐบาลมีการควบคุมที่ถูกต้อง - การเงินเป็นหลัก - และเศรษฐกิจจะราบรื่นตลอดไปหลังจากนั้น

Joseph Schumpeter คิดว่าทั้งนักเศรษฐศาสตร์แนวคลาสสิคและชาวเคนส์(เคนส์+คนที่คิดแบบนั้น)นั้นผิดอย่างสิ้นเชิงในการมองเศรษฐกิจราวกับว่าเป็นนาฬิกา สำหรับเขา "สมดุล" ไม่มีอยู่จริง ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จังหวะจะแตกต่างกันไป แต่ไม่เคยหยุดนิ่ง  ขึ้นอยู่กับวิธีการใหม่,สิ่งประดิษฐ์และอัตราการปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เดิมอย่างต่อเนื่องหมายความว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบคนขับรถยนต์ได้

เศรษฐกิจเดียวเท่านั้นคือเศรษฐกิจโลกแต่เคนส์คิดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษนั้นสามารถได้รับการปฏิบัติราวกับว่ามันเป็นองค์กรที่แยกตัวออกมา. วันนี้มีหลายประเทศที่กำหนดนโยบายภายใต้สมมติฐานที่คล้ายกันนี้.

จากนิตยสารฟอร์บ 400 รายชื่อของคนอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดและรายชื่อมหาเศรษฐีทั่วโลกของเราแสดงให้เห็นว่า "ผู้ที่เป็นนักปฏิบัติทางการค้า+เศรษฐกิจ"(นักธุรกิจ,ผู้ประกอบการ) เป็นตัวขับเคลื่อนรัฐบาลสามารถขัดขวางกิจกรรมของพวกเขาหรือสร้างสภาพแวดล้อมที่พวกเขาสามารถเติบโตและเจริญรุ่งเรืองก็ได้ (จะเป็นตัวขวาง หรือ เป็นตัวช่วย ก็ได้). 

ดูเหมือนว่าจะชัดเจนในตัวเอง แต่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังประสบปัญหา ผู้นำและนักเศรษฐศาสตร์ของรัฐบาลพูดถึงนโยบายการเงินราวกับว่ามันจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซาภายใต้วิธีการเก็บภาษีที่มากเกินไป , กฎระเบียบที่ทำให้หายใจไม่ออกและการใช้จ่ายของรัฐบาลจำนวนมหาศาล (โปรดจำไว้ว่ารัฐบาลไม่ได้สร้างทรัพยากร. พวกเขาจะมีเงินเมื่อผ่านการเก็บภาษีการยืมหรือเงินเฟ้อซึ่งก็คือ - เคนส์พูดถูกในเรื่องนี้ - รวมถึงการเก็บภาษีในรูปแบบอื่น)

รัฐบาลส่วนใหญ่เกลียดความจริงที่ว่าผู้คนในรายชื่อของนิตยสารฟอร์บมีความสำคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองและมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้นรัฐบาลต้องการผลประโยชน์จากสิ่งที่คนเหล่านั้นสร้างขึ้นแต่ไม่ต้องการให้ใครร่ำรวยจากการสร้างเหล่านั้น !